วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559

การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ

การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ
        ศาลใช้อำนาจตุลาการในการพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง แต่ยังมีองค์กรอิสระอื่นที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยประชาชนในการตรวจสอบ

ให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปตามรัฐธรรมนูญและคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเพื่อความยุติธรรม

1. ศาล

- ศาลรัฐธรรมนูญ

- ศาลยุติธรรม

- ศาลปกครอง

- ศาลทหาร

2. องค์กรอิสระ

- องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ

· คณะกรรมการการเลือกตั้ง

· ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา

· คณะกรรมการสิทธิมนุษย์ชนแห่งชาติ

· คณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.)

· คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

- องค์กรอิสระเสริมรัฐธรรมนูญ



ศาล

             รัฐ มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย ปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนและผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรมในสังคมโดยรัฐอาศัยกฎหมายเป็นเครื่องมือในการกำหนดความสัมพันธ์ สิทธิ หน้าที่ของสมาชิกในสังคมและเป็นเครื่องมือในการตัดสินขอพิพาท โดยประชาชนทุกคนต้อง

ปฏิบัติตนอยู่ในขอบเขตที่กฎหมายกำหนดหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมของรัฐมีหน้าที่รักษาความศักดิ์สิทธ์ของกฎหมาย คือ บังคับการ

ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ และดำเนินการกับผู้ฝ่าฝืน ศาลในฐานะส่วนหนึ่งในกระบวนการยุติธรรมจะมีบทบาทต่อเมื่อมีคนนำคดี มา

ฟ้องร้องต่อศาล จากนั้นศาลจะดำเนินการพิจารณาคดีและตัดสินคดีให้เป็นตามกฎหมายและความถูกต้องเป็นธรรม ทั้งนี้การทำงานของศาล

ถือเป็นการทำในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงเป็นพระประมุขของประชาชนชาวไทย

            ศาล คือ สถาบันที่ใช้อำนาจตุลาการในการพิจารณาพิพากษาชี้ขาดข้อพิพาทหรืออรรถคดีตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติ

อำนาจตุลาการ เป็นอำนาจอิสระ ไม่ขึ้นกับฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายบริหาร รัฐธรรมฉบับปัจจุบันกำหนดให้ ศาลเป็นองค์กรพิจารณาพิพากษา

อรรถคดี ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ หมายความว่า คำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลเป็นเสมือนพระบรมราชโองการของพระมหา

กษัตริย์ การออกนั่งบัลลังก์ของคณะตุลาการให้ถือเสมือนว่า การกระทำในนามของพระองค์ข้อพิพากษา หรืออรรถคดี ที่นำมาสู่ศาลมีหลาย

ประเภท รัฐธรรมจึงบัญญัติให้มีศาลหลายสำหรับพิจารณาพิพากษาวินิจฉัยโดยเฉพาะ

            ศาลไทยในปัจจุบันมี 4 ประเภท

1. ศาลรัฐธรรมนูญ มีหน้าที่วินิจฉัยประเด็นปัญหาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ

2. ศาลยุติธรรม มีอำนาจพิจารณาพิพากษาทั้งปวง โดยเฉพาะคดีแพ่งและคดีอาญา เว้นแต่คดีที่อยู่ในอำนาจของศาลอื่น (เช่น ศาลรัฐธรรม ศาลปกครอง) ศาลยุติธรรมจึงเป็นศาลที่เกี่ยวข้องระหว่างประชาชนโดยตรง

3. ศาลปกครอง มีหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นข้อพิพาทระหว่างราชการกับเอกชนหรือระหว่างราชการด้วยกันเอง เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติ

4. ศาลทหาร มีหน้าที่พิจารณาพิพากษาเฉพาะคดีอาญาทหารและคดีที่มีอาญาทหารและคดีที่มีลักษณะพิเศษทางอาญา เช่น คดีอาญาที่ทหารตกเป็นจำเลยหรือคดีที่เกิดขึ้นในภาวะสงคราม หรือประกาศกฎอัยการศึก โดยปกติศาลทหารจึงไม่เกี่ยวกับประชาชนทั่วไป



องค์กรอิสระ

องค์กรที่ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ

            องค์กรที่ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ คือ องค์กรที่ตั้งตามพระราชบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ซึ่งประกอบด้วยคณะบุคคลที่ตั้งขึ้นด้วยวิธีที่

ปลอดจากอำนาจอิทธิพลของบุคคลที่อาจมีส่วนได้เสียกับกิจการอันเป็นหน้าที่ขององค์กรนั้น โดยเฉพาะอำนาจของข้าราชการการเมืองและ

อำนาจของข้าราชการประจำ จึงเรียกกันติดปากว่า องค์กรอิสระ

            โดยทั่วไปองค์กรอิสระมีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องในการทำหน้าที่บริหารราชการและกิจการของรัฐ

            องค์กรอิสระแยกเป็น 2 พวก ได้แก่ องค์กรอิสระที่ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญโดยตรง กับองค์กรอิสระที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายอื่นเพื่อเอื้ออำนวยให้การดำเนินการตามรัฐธรรมนูญเป็นไปโดยสมบูรณ์ ซึ่งจะเรียกสั้นๆ ว่า องค์กรอิสระเสริมรัฐธรรมนูญ

            องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ได้แก่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่ง

ชาติ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

            องค์กรอิสระเสริมรัฐธรรมนูญ เช่น คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ (กสช.) คณะกรรมการกิจการ

โทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) คณะกรรมการการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นต้น

ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะองค์กรอิสระที่ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ และมีหน้าที่สำคัญที่จะให้รัฐทำตามแนวนโยบายแห่งรัฐ



คณะกรรมการการเลือกตั้ง

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งขึ้นเป็นหน่วยงานดำเนินการเลือกตั้งที่เป็นอิสระ ไม่ขึ้นกับหน่วยราชการเพื่อให้สามารถดำเนินการได้

โดนปลอดอิทธิพลใดๆ



ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา

ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเป็นองค์กรอิสระที่ไม่ขึ้นต่อข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำทำให้สามารถตรวจสอบการทำงาน

ราชการได้โดยอาจตรวจเองหรือตรวจตามคำร้องเรียนของประชาชน

- พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาจำนวนไม่เกิน 3 คน ตามคำแนะนำของวุฒิสภา

- ประธานวุฒิสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง

- ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาอยู่ในตำแหน่ง 6 ปี และดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว

อำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา

1. พิจารณา และสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติ หรือ ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ ตามกฎหมาย หรือก่อให้เกิดความเสียหายโดยไม่เป็นธรรม ไม่ว่าจะชอบด้วยหน้าที่หรือไม่ชอบด้วยหน้าที่ อำนาจหน้าที่ของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่อยงานของงรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจหรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือในกรณีอื่นที่กฎหมายบัญญัติ แล้วทำรายงานพร้อมทั้งเสนอความเห็น และข้อเสนอแนะไปยังรัฐสภา

2. เมื่อเห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ หรือการกระทำใดของบุคคลตาม ข้อ 1 มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครอง เพื่อพิจารณาวินิจฉัย ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองต้องวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า

ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภามีหน้าที่เสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะเท่านั้น ไม่มีอำนาจในการบังคับแต่อย่างใด



คณะกรรมการสิทธิมนุษย์ชนแห่งชาติ

    รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ได้ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนชาวไทยไม่ว่าแหล่งกำเนิด เพศ หรือศาสนาใดจะได้รับความคุ้มครองเสมอกัน ดังนี้

    มาตรา 199 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประกอบด้วยประธานกรรมการคนหนึ่งและกรรมการอื่นอีกสิบคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา จากผู้ซึ่งมีความรู้หรือประสบการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นที่ประจักษ์ ทั้งนี้ โดยต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของผู้แทนจากองค์การเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนด้วย

    ให้ประธานวุฒิสภาลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คุณสมบัติ

ลักษณะต้องห้าม การสรรหา การเลือก การถอดถอน และการกำหนดค่าตอบแทนกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้เป็นไปตามที่

กฎหมายบัญญัติ

       กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีวาระการดำรงตำแหน่งหกปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว



คณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.)

- พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งประธานกรรมการ 1 คน กับกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอื่นอีก 8 คน ตามคำแนะนำของวุฒิสภา (จากการสรรหา และวุฒิสภามีมติเลือก)

- ประธานวุฒิสภาลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง

- กรรมการ ปปช. อยู่ในตำแหน่ง 9 ปี และดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว

อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ

หน้าที่

1.ไต่สวนข้อเท็จจริงและสรุปสำนวนในเรื่องที่วุฒิสภาส่งมาให้เกี่ยวกับ

- การถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง

- การกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อ

ตำแหน่งหน้าที่ในราชการ หรือ ในการยุติกรรม

2.ตรวจสอบความถูกต้อง ความมีอยู่จริง และความเปลี่ยนแปลงของทรัพย์สิน หนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

3.รายงานผลการปฏิบัติหน้าที่พร้อมข้อสังเกตต่อคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาทุกปี

4.ดำเนินการอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ

อำนาจ

ปปช. มีอำนาจเชิงบังคับสูงมาก เช่น

1. ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสากิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งสอนของ ปปช. ที่สั่งการตามอำนาจหน้าที่

2. ปปช. มีอำนาจเรียกเอกสาร หรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาให้ถ้อยคำตลอดจนขอให้ศาลพนักงานสอบสวน หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นดำเนินการใดๆ เพื่อประโยชน์ในการไต่สวน หรือตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่

3. ขอให้ศาลออกหมายเพื่อเข้าไปตรวจสอบ ค้น ยึด หรืออายัด เอกสาร ทรัพย์สิน หรือพยาน หลักฐาน ในเคหสถาน ที่ทำการ สถานที่ หรือยานพาหนะ

4. ขอให้ศาลออกหมายจับและควบคุมตัวผู้ถูกกล่าวหาในการดำเนินคดีอาญากับเจ้าหน้าที่ของรัฐ

5. มีหนังสือข้อให้หน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานเอกชน ดำเนินการใดๆ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ การไต่สวนข้อเท็จจริง หรือการวินิจฉัยชี้ขาดของกรรมการ ปปช.

6.ให้สินบนแก่ผู้ชี้ช่อง แจ้งเบาะแส หรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือหนี้สินในกรณีที่มีการ

กล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐร่ำรวยผิดปกติ หรือการตรวจสอบทรัพย์สินหรือหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่ง

ทางการเมือง

 คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

- คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เป็นอิสระและเป็นกลาง หมายความว่า ไม่สังกัดในรัฐบาลรัฐสภา หรือศาล

- พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งประธานกรรมการ 1 คน และกรรมการอื่นอีก 9 คน ตามคำแนะนำของวุฒิสภา

- ประธานวุฒิสภาลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง

- อยู่ในตำแหน่งคราวละ 6 ปี และดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น