การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ
ศาลใช้อำนาจตุลาการในการพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง แต่ยังมีองค์กรอิสระอื่นที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยประชาชนในการตรวจสอบ
ให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปตามรัฐธรรมนูญและคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเพื่อความยุติธรรม
1. ศาล
- ศาลรัฐธรรมนูญ
- ศาลยุติธรรม
- ศาลปกครอง
- ศาลทหาร
2. องค์กรอิสระ
- องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
· คณะกรรมการการเลือกตั้ง
· ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา
· คณะกรรมการสิทธิมนุษย์ชนแห่งชาติ
· คณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.)
· คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
- องค์กรอิสระเสริมรัฐธรรมนูญ
ศาล
รัฐ มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย ปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนและผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรมในสังคมโดยรัฐอาศัยกฎหมายเป็นเครื่องมือในการกำหนดความสัมพันธ์ สิทธิ หน้าที่ของสมาชิกในสังคมและเป็นเครื่องมือในการตัดสินขอพิพาท โดยประชาชนทุกคนต้อง
ปฏิบัติตนอยู่ในขอบเขตที่กฎหมายกำหนดหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมของรัฐมีหน้าที่รักษาความศักดิ์สิทธ์ของกฎหมาย คือ บังคับการ
ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ และดำเนินการกับผู้ฝ่าฝืน ศาลในฐานะส่วนหนึ่งในกระบวนการยุติธรรมจะมีบทบาทต่อเมื่อมีคนนำคดี มา
ฟ้องร้องต่อศาล จากนั้นศาลจะดำเนินการพิจารณาคดีและตัดสินคดีให้เป็นตามกฎหมายและความถูกต้องเป็นธรรม ทั้งนี้การทำงานของศาล
ถือเป็นการทำในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงเป็นพระประมุขของประชาชนชาวไทย
ศาล คือ สถาบันที่ใช้อำนาจตุลาการในการพิจารณาพิพากษาชี้ขาดข้อพิพาทหรืออรรถคดีตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติ
อำนาจตุลาการ เป็นอำนาจอิสระ ไม่ขึ้นกับฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายบริหาร รัฐธรรมฉบับปัจจุบันกำหนดให้ ศาลเป็นองค์กรพิจารณาพิพากษา
อรรถคดี ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ หมายความว่า คำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลเป็นเสมือนพระบรมราชโองการของพระมหา
กษัตริย์ การออกนั่งบัลลังก์ของคณะตุลาการให้ถือเสมือนว่า การกระทำในนามของพระองค์ข้อพิพากษา หรืออรรถคดี ที่นำมาสู่ศาลมีหลาย
ประเภท รัฐธรรมจึงบัญญัติให้มีศาลหลายสำหรับพิจารณาพิพากษาวินิจฉัยโดยเฉพาะ
ศาลไทยในปัจจุบันมี 4 ประเภท
1. ศาลรัฐธรรมนูญ มีหน้าที่วินิจฉัยประเด็นปัญหาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ
2. ศาลยุติธรรม มีอำนาจพิจารณาพิพากษาทั้งปวง โดยเฉพาะคดีแพ่งและคดีอาญา เว้นแต่คดีที่อยู่ในอำนาจของศาลอื่น (เช่น ศาลรัฐธรรม ศาลปกครอง) ศาลยุติธรรมจึงเป็นศาลที่เกี่ยวข้องระหว่างประชาชนโดยตรง
3. ศาลปกครอง มีหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นข้อพิพาทระหว่างราชการกับเอกชนหรือระหว่างราชการด้วยกันเอง เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติ
4. ศาลทหาร มีหน้าที่พิจารณาพิพากษาเฉพาะคดีอาญาทหารและคดีที่มีอาญาทหารและคดีที่มีลักษณะพิเศษทางอาญา เช่น คดีอาญาที่ทหารตกเป็นจำเลยหรือคดีที่เกิดขึ้นในภาวะสงคราม หรือประกาศกฎอัยการศึก โดยปกติศาลทหารจึงไม่เกี่ยวกับประชาชนทั่วไป
องค์กรอิสระ
องค์กรที่ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ
องค์กรที่ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ คือ องค์กรที่ตั้งตามพระราชบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ซึ่งประกอบด้วยคณะบุคคลที่ตั้งขึ้นด้วยวิธีที่
ปลอดจากอำนาจอิทธิพลของบุคคลที่อาจมีส่วนได้เสียกับกิจการอันเป็นหน้าที่ขององค์กรนั้น โดยเฉพาะอำนาจของข้าราชการการเมืองและ
อำนาจของข้าราชการประจำ จึงเรียกกันติดปากว่า องค์กรอิสระ
โดยทั่วไปองค์กรอิสระมีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องในการทำหน้าที่บริหารราชการและกิจการของรัฐ
องค์กรอิสระแยกเป็น 2 พวก ได้แก่ องค์กรอิสระที่ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญโดยตรง กับองค์กรอิสระที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายอื่นเพื่อเอื้ออำนวยให้การดำเนินการตามรัฐธรรมนูญเป็นไปโดยสมบูรณ์ ซึ่งจะเรียกสั้นๆ ว่า องค์กรอิสระเสริมรัฐธรรมนูญ
องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ได้แก่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่ง
ชาติ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
องค์กรอิสระเสริมรัฐธรรมนูญ เช่น คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ (กสช.) คณะกรรมการกิจการ
โทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) คณะกรรมการการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นต้น
ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะองค์กรอิสระที่ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ และมีหน้าที่สำคัญที่จะให้รัฐทำตามแนวนโยบายแห่งรัฐ
คณะกรรมการการเลือกตั้ง
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งขึ้นเป็นหน่วยงานดำเนินการเลือกตั้งที่เป็นอิสระ ไม่ขึ้นกับหน่วยราชการเพื่อให้สามารถดำเนินการได้
โดนปลอดอิทธิพลใดๆ
ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา
ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเป็นองค์กรอิสระที่ไม่ขึ้นต่อข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำทำให้สามารถตรวจสอบการทำงาน
ราชการได้โดยอาจตรวจเองหรือตรวจตามคำร้องเรียนของประชาชน
- พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาจำนวนไม่เกิน 3 คน ตามคำแนะนำของวุฒิสภา
- ประธานวุฒิสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง
- ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาอยู่ในตำแหน่ง 6 ปี และดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว
อำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา
1. พิจารณา และสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติ หรือ ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ ตามกฎหมาย หรือก่อให้เกิดความเสียหายโดยไม่เป็นธรรม ไม่ว่าจะชอบด้วยหน้าที่หรือไม่ชอบด้วยหน้าที่ อำนาจหน้าที่ของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่อยงานของงรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจหรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือในกรณีอื่นที่กฎหมายบัญญัติ แล้วทำรายงานพร้อมทั้งเสนอความเห็น และข้อเสนอแนะไปยังรัฐสภา
2. เมื่อเห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ หรือการกระทำใดของบุคคลตาม ข้อ 1 มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครอง เพื่อพิจารณาวินิจฉัย ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองต้องวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า
ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภามีหน้าที่เสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะเท่านั้น ไม่มีอำนาจในการบังคับแต่อย่างใด
คณะกรรมการสิทธิมนุษย์ชนแห่งชาติ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ได้ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนชาวไทยไม่ว่าแหล่งกำเนิด เพศ หรือศาสนาใดจะได้รับความคุ้มครองเสมอกัน ดังนี้
มาตรา 199 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประกอบด้วยประธานกรรมการคนหนึ่งและกรรมการอื่นอีกสิบคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา จากผู้ซึ่งมีความรู้หรือประสบการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นที่ประจักษ์ ทั้งนี้ โดยต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของผู้แทนจากองค์การเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนด้วย
ให้ประธานวุฒิสภาลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คุณสมบัติ
ลักษณะต้องห้าม การสรรหา การเลือก การถอดถอน และการกำหนดค่าตอบแทนกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้เป็นไปตามที่
กฎหมายบัญญัติ
กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีวาระการดำรงตำแหน่งหกปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว
คณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.)
- พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งประธานกรรมการ 1 คน กับกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอื่นอีก 8 คน ตามคำแนะนำของวุฒิสภา (จากการสรรหา และวุฒิสภามีมติเลือก)
- ประธานวุฒิสภาลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง
- กรรมการ ปปช. อยู่ในตำแหน่ง 9 ปี และดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว
อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
หน้าที่
1.ไต่สวนข้อเท็จจริงและสรุปสำนวนในเรื่องที่วุฒิสภาส่งมาให้เกี่ยวกับ
- การถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง
- การกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อ
ตำแหน่งหน้าที่ในราชการ หรือ ในการยุติกรรม
2.ตรวจสอบความถูกต้อง ความมีอยู่จริง และความเปลี่ยนแปลงของทรัพย์สิน หนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
3.รายงานผลการปฏิบัติหน้าที่พร้อมข้อสังเกตต่อคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาทุกปี
4.ดำเนินการอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ
อำนาจ
ปปช. มีอำนาจเชิงบังคับสูงมาก เช่น
1. ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสากิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งสอนของ ปปช. ที่สั่งการตามอำนาจหน้าที่
2. ปปช. มีอำนาจเรียกเอกสาร หรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาให้ถ้อยคำตลอดจนขอให้ศาลพนักงานสอบสวน หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นดำเนินการใดๆ เพื่อประโยชน์ในการไต่สวน หรือตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่
3. ขอให้ศาลออกหมายเพื่อเข้าไปตรวจสอบ ค้น ยึด หรืออายัด เอกสาร ทรัพย์สิน หรือพยาน หลักฐาน ในเคหสถาน ที่ทำการ สถานที่ หรือยานพาหนะ
4. ขอให้ศาลออกหมายจับและควบคุมตัวผู้ถูกกล่าวหาในการดำเนินคดีอาญากับเจ้าหน้าที่ของรัฐ
5. มีหนังสือข้อให้หน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานเอกชน ดำเนินการใดๆ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ การไต่สวนข้อเท็จจริง หรือการวินิจฉัยชี้ขาดของกรรมการ ปปช.
6.ให้สินบนแก่ผู้ชี้ช่อง แจ้งเบาะแส หรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือหนี้สินในกรณีที่มีการ
กล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐร่ำรวยผิดปกติ หรือการตรวจสอบทรัพย์สินหรือหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่ง
ทางการเมือง
คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
- คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เป็นอิสระและเป็นกลาง หมายความว่า ไม่สังกัดในรัฐบาลรัฐสภา หรือศาล
- พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งประธานกรรมการ 1 คน และกรรมการอื่นอีก 9 คน ตามคำแนะนำของวุฒิสภา
- ประธานวุฒิสภาลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง
- อยู่ในตำแหน่งคราวละ 6 ปี และดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น